เจสซี่ ลิเวอร์มอร์ เป็นหนึ่งในนักเทรดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ผ่านมา ได้เหลือคำคมการเทรดอันอยู่เหนือกาล.
เวลาไว้ให้พวกเราได้ระลึกถึงเขา ตอนอายุ 15 เขาเดินทางไปบอสตันและเริ่มทำงานในสำนักงานนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ Paine Webber ของบอสตัน หน้าที่ของเขาคือการโพสต์ราคาหุ้นและราคาสินค้าในกระดานราคาของนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ เขาศึกษาการเคลื่อนไหวของราคาและเริ่มทำการซื้อขายกับความผันผวนของราคา.
ไม่มีใครทำเงินในตลาดหรือฟื้นคืนจากการล้มละลายได้บ่อยเท่าเจสซี่ เขาเทรดชนะจากการเทขายในเหตุการณ์ปีค.ศ. 1907 และภาวะหุ้นร่วงจากเงินฝืดครั้งใหญ่ ซึ่งถือว่าเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเทรด มีการกล่าวถึงว่าตลาดหุ้นที่ถูกถล่มในปี 1929 กลายเป็นจุดสูงสุดในอาชีพการงานของเขา เมื่อเขาเทขายหุ้นและทำกำไรได้มากกว่า 100ล้านเหรียญสหรัฐ.
บทเรียนที่ 1
“อย่าเคลื่อนไหวหรือโดดเข้าไปหากไม่มีสัญญาณยืนยันจากตลาด เทรดช้าหน่อยแต่มันจะเป็นหลักประกันว่าคุณตัดสินใจถูกหรือผิด”
การรอราคาในตลาดให้เคลื่อนไหวเพื่อยืนยันการคาดการณ์ของคุณนั้นดีกว่ากันเยอะ
นักเทรดบางคนโลภและความอดทนต่ำ:
ถ้าคุณคิดว่าตลาดจะวิ่งขึ้น ให้รอมันขึ้นไปอีกหน่อยแล้วค่อยเข้า ถ้าคิดว่าตลาดจะวิ่งลง ก็แบบเดียวกันคือให้รอสัญญาณก่อน ช้านิดหน่อยอาจทำให้คุณเสียเพิ่มขึ้นไม่กี่พ๊อยท์ซึ่งเทียบไม่ได้เลยถ้าคุณจับเทรนด์ใหญ่ถูก มันจะช่วยกันไม่ให้คุณเทรดแบบลวกๆ
นักเทรดอีกหลายคนความอดทนต่ำและขี้กลัว:
พวกเขามองว่าตลาดกำลังเข้าใกล้จุด Breakout แล้วก็โน้มน้าวตัวเองว่าตลาดแรงมากต้องทะลุแน่นอน พวกเขาคิดว่าควรรีบซื้อก่อนมันจะถึง Breakout เพราะคิดว่าจะช่วยประหยัดเงินและเก็บกำไรได้ก่อนนิดหน่อย
แต่ส่วนใหญ่แล้วตลาดจะไปแตะที่ Breakout แล้วกลับตัวลงมาเนื่องจะไปเจอแนวต้านซึ่งส่งสัญญาณให้เห็นแต่แรก ตลาดเพียงแค่รอการเคลื่อนไหวของราคาซึ่งจะนำไปสู่แนวโน้มและกำไรที่ใหญ่กว่า
บทเรียนที่ 2
“มันไม่ค่อยฉลาดที่จะเข้าเทรดอีกครั้ง ถ้าครั้งแรกคุณเสียแบบชัดเจน อย่าพยายามเอาคืนที่เสียไป แต่จงจำเรื่องนั้นไว้ให้แม่น”
การเอาคืนที่เสียไปหมายถึงการเทรดเสียมากขึ้น
นักเทรดที่ไม่ประสบความสำเร็จจะมองหาทางฟื้นตัวจากเงินที่เสียไปโดยการซื้อเพิ่มและหวังว่าราคาจะขึ้นไปถึงจุดคุ้มทุน แบบนี้ยิ่งเป็นการเสียเพิ่มอีกเท่าตัว
บทเรียนที่ 3
“คนเราจะเสียเวลาไปอย่างมากเพื่อให้ได้รับบทเรียนจากความผิดพลาด”
การจะเป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จนั้นใช้เวลาอย่างมาก โดยเรียนรู้จากทฤษฏีหรือเรียนรู้จากความผิดพลาด แต่ความผิดพลาดนั้นใช้เงิน อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกทางหนึ่งคือใช้บัญชีทดลองที่นักเทรดสามารถทดสอบกลยุทธ์ของตนเองโดยใช้เงินจำลองได้.
เมื่อคุณประสบความสำเร็จแล้ว ก็จะทำเงินจริงได้ง่ายขึ้น สมมุติว่าคุณได้กำไร 10% จากเงิน 1,000เหรียญ นั่นคือกำไร 100เหรียญ อย่างไรก็ตามเมื่อคุณประสบความสำเร็จในการปั้นพอร์ตแล้วโดยทำกำไรได้ 10% จากเงินทุน 10,000เหรียญ นั่นหมายถึงกำไร10 เท่าจากเดิมโดยอัตราการทำกำไรเท่าเดิมคือ 10%.
บทเรียนที่ 4
“ถ้าคุณนอนไม่หลับเพราะออเดอร์ที่ยังเปิดค้างอยู่ นั่นคือคุณได้ถลำลึกไปแล้ว”
สิ่งนี้เกิดขึ้นเสมอกับนักเทรดที่โอเวอร์เทรด การเทรดไม่ได้ทำให้คุณรวยในชั่วข้ามคืน มีสุภาษิตจากนักเทรดรุ่นก่อนๆที่กล่าวไว้ว่า “ขายจนถึงเวลานอน” และตรรกะนี้ใช้ได้กับนักเทรดทุกคน.
บทเรียนที่ 5
“ความลุ่มหลงในการลงมือทำอย่างต่อเนื่องโดยไม่คำนึงถึงเงื่อนไขพื้นฐานนั้น เป็นสาเหตุของความสูญเสียมากมายในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท แม้ในกลุ่มมืออาชีพที่พวกเขารู้สึกว่าจะต้องได้เงินกลับบ้านทุกวันราวกับว่าพวกเขาทำงานเพื่อรับค่าจ้างปกติ”
ความใจร้อนนำพาให้นักเทรดมากมายสูญเสียเงิน อย่าเทรดจนกว่าจะถึงโอกาสที่เหมาะสมและจุดที่ความเสี่ยงน้อยกว่าศักยภาพในการทำกำไร คุณต้องมีกฎและกลยุทธ์ในการเทรดสำหรับใช้ตามเพื่อหลีกเลี่ยงกับดักแห่งการโอเวอร์เทรด คุณต้องเรียนรู้การจัดการบัญชีของคุณ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสี่ยงมากเกินไป.
Louis Teo
นักยุทธศาสตร์การตลาด